วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธุ์ 2557
สัปดาห์ที่16

 ในสัปดาห์นี้อาจารย์พูดเกี่ยวกับข้อสอบว่าจะออกอะไรบ้าง และเรื่องการส่งงานว่าส่งภายในวันที่เท่าไร จากนั้นอาจารย์ก็ให้เคลียร์งานให้เสร็จ

ความรู้เพิ่มเติม
 เด็กปัญญาเลิศ
    เด็กอัจฉริยะ เด็กปรีชาญาณ เด็กเก่ง และคำสุดท้ายที่นำมาใช้ในวงการศึกษา คือ เด็กปัญญาเลิศคำภาษาอังกฤษที่ใช้ในวงการนี้มีหลายคำเช่นกัน เช่น
Gifted หมายถึง ผู้ที่มีความฉลาดเฉลียวหรือผู้มีปัญญาเลิศ
Talented หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถเฉพาะทาง เช่น ด้านดนตรี ศิลปะ กีฬา
Genius หมายถึง ผู้ที่ระดับสติปัญญาสูง มีผลงานการประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์มากมาย
เด็กปัญญาเลิศ หมายถึง เด็กที่มีความสามารถทางสมองสูงกว่าเด็กทั่วไป
เป็นเด็กที่มีระดับสติปัญญาที่วัดได้จากการทดสอบมาตรฐานมีค่าเฉลี่ยเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 2 ขึ้นไป
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้
1. เด็กที่มีระดับสติปัญญาสูง คือ กลุ่มเด็กที่มี ระดับสติปัญญา (IQ) ตั้งแต่ 130 ขึ้นไป
2. เด็กที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้าน อาจไม่ใช่เด็กที่มีระดับสติปัญญาสูง แต่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านที่โดดเด่นกว่าคนอื่นในวัยเดียวกันอาจเป็นด้าน
คณิตศาสตร์ - ตรรกศาสตร์การใช้ภาษา ศิลปะ ดนตรี กีฬา การแสดง ฯลฯ
3. เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์
ลักษณะบางอย่างที่พอสังเกตได้ คือ เด็กปัญญาเลิศเป็นเด็กที่มีสติปัญญาสูง มีความเฉลียวฉลาดกว่าเด็กทั่วไป
ความฉลาดได้ส่อแววมาตั้งแต่ในวัยเด็กเล็กเด็กอาจจะเดินได้วิ่งได้ตั้งแต่อายุยังน้อย มีพัฒนาการล้ำหน้ากว่าเด็กอื่นในวัยเดียวกัน
เรียนรู้ได้รวดเร็วหากมีการทดสอบทางด้านสติปัญญาหรือความถนัด เด็กเหล่านี้จะได้คะแนนสูงกว่าเด็กทั่วไป เด็กปัญญาเลิศมักจะเก่งในด้านต่อไปนี้
1. ด้านภาษา เช่น พูดเก่ง, ใช้ศัพท์สูง, อ่านหนังสือได้ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่ใช้เรียนในระดับชั้นของตนหรือหนังสือที่ใช้เรียนในชั้นที่สูงกว่า
2. ด้านความคิดรวบยอด เช่น เป็นคนช่างสังเกต, มีความจำเป็นเยี่ยม
3. ด้านสังคม เช่น แสดงออกซึ่งความเป็นผู้นำ, มีอารมณ์ขันอย่างมีเหตุผลและเหมาะสม
4. ด้านบุคลิกภาพ เช่น มีพละกำลังมากมายทั้งในด้านร่างกาย, พลังสมองและความคิด, มีจุดมุ่งหมายในการทำงานและในชีวิตมีช่วงความสนใจยาว 1 / 1

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์
สัปดาห์ที่15
สัปดาห์นี้อาจารย์สอนในเรื่อง เด็กมีปัญหาทางการเรียนรู้


 LD เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
      เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (L.D)
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างในกระบวนการพื้นฐาน ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับความเข้าใจหรือการใช้ภาษา อาจเป็นการพูดและ/หรือภาษาเขียน หรือการคิดคำนวณ รวมทั้งสภาพความบกพร่องในการรับรู้ สมองได้รับบาดเจ็บกาปฏิบัติงานของสมองสูญเสียไป

สาเหตุ 
      การได้รับบาดเจ็บทางสมองเนื่องจากระบบประสาทส่วนกลางได้รับบาดเจ็บไม่สามารถทำงานได้เต็มที่
      กรรมพันธุ์ เนื่องจากงานวิจัยจำนวนมากระบุว่า ถ้าหากพ่อแม่ ญาติ พี่น้องที่ใกล้ชิดเป็นจะมีโอกาส ถ่ายทอดทางพันธุ์กรรม
      สิ่งแวดล้อม เป็นสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การได้รับบาดเจ็บทางสมอง หรือกรรมพันธุ์ เช่น การพัฒนาการช้า เนื่องจากการได้รับสารอาหารไม่ครบ ขาดสารอาหาร มลพิษ การเลี้ยงดู

ลักษณะทั่วไปของเด็ก LD 
      -มีความบกพร่องทางการพูด
      -มีความบกพร่องทางการสื่อสาร
      -มีปัญหาในการเรียนวิชาทักษะ
      -มีปัญหาในการสร้างแนวความคิดรวบยอด
      -การทดสอบผลการเรียนให้ผลไม่แน่นอนมากแก่การพยากรณ์
      -มีความบกพร่องทางการรับรู้
      -มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว
      -มีอารมณ์ไม่คงที
      -โยกตัวหรือผงกศีรษะบ่อยๆ
      -มีพัฒนาการทางร่างกายไม่คงที่
      -มีพฤติกรรมไม่คงเส้นคงว่า
      -เสียสมาธิง่ายแสดงพฤติกรรมแปลกๆ
      -มีปัญหาในการสร้างความ สัมพันธ์กับเพื่อน    

วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557
สัปดาห์ที่14


ในสัปดาห์นี้อาจารย์สอนเรื่อง เด็กดาวน์ซินโดรม

      1. ด้านสุขภาพอนามัย
 
      2.การส่งเสริมพัฒนาการ
 
      3.การดำรงชีวิตประจำวัน
 
      4.การฟื้นฟูสมรรถภาพ
 

การส่งเสริมพัฒนาการ
     -พัฒนาทักษะด้านต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์และภาษา
     -สามารถปรับตัวและช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น
     -สังคมยอมรับมากขึ้นไปเรียนร่วมมือเรียนรวมได้
     -ลดปัญหาพฤติกรรม
     -คุณภาพชีวิตดีขึ้นสามารถแก้ไขปัญหาและทำงานได้ดีขึ้น

Autistic ออทิสติก (ตัวอันตราย/คล้ายๆกับเด็กสมาธิสั้นอยู่ไม่นิ่งอยู่ไม่สุข )
    ส่งเสริมความเข้มแข็งครอบครัว/สำคัญที่สุด
         -ครอบครัวมีบทบาทสำคัญที่สุดในกระบวนการดูแลช่วยเหลือเด็กออทิสติก
    ส่งเสริมความสามารถเด็ก
         -การเสริมสร้างโอกาสให้เด็กได้เล่นของเล่นที่หลากหลาย
         -ทำกิจกรรมที่หลากหลาย
    การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม
         -เพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
         -การให้การเสริมแรง ดีก็ชม
    การฝึกพูด (ได้รับจากนักบำบัดการพูด)
        -โดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า
        -ถ้าเด็กพูดได้เร็วโอกาสที่จะพัฒนาการทางภาษาใกล้เคียงปกติจะเพิ่มมากขึ้น
        -ลดการใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม
        -ช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าว
        -การสื่อความหมายทดแทน (AAc)
   การสื่อความหมายทดแทน
        -การรับรู้ผ่านการมองเห็น
        -โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร PECS
   การส่งเสริมพัฒนาการ
        -ให้เด็กมีพัฒนาการเป็นไปตามวัย
        -เน้นในเรื่องการมองหน้าการสบสายตาการมีสมาธิ การฟัง และทำตามคำสั่ง
        -ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู้กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
  การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
        -เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
        -แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
        -โรงเรียนเรียนรวม ห้องเรียนคู่ขนาน
  การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม ( ต่ำ )
        -ทักษะในชีวิตประจำวัน และฝึกฝนทักษะสังคม
        -ให้เด็กสามารถทำได้ด้วยตนเองเต็มความสามารถ โดยต้องการความช่วยเหลือน้อยที่สุด
   การรักษาด้วยยา
        -เพื่อบรรเทาอาการไม่ใช่รักษาให้หาย
  การบำบัดทางเลือก
        -การสื่อความมหายทดแทน
        -ศิลปะกรรมบำบัด
        -ดนตรีบำบัด
        -การฝังเข็ม
        -การบำบัดด้วยสัตว์
  พ่อ แม่
        -ลูกต้องพัฒนาได้
        -เรารักลุกของเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร
        -ถ้าเราไม่รักแล้วใครจะรัก
        -หยุดไม่ได้ต้องสู้
        -ดูแลจิตใจและร่างกายของตนเองให้เข้มแข็ง
        -ไม่กล่าวโทษตนเองหรือคู่สมรส
        -ควรหันหน้าปรึกษากันในครอบครัว


      

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันอังคารที่ 28 มกราคม 2557
สัปดาห์ที่13

  * ในสัปดาห์นี้ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากสอบในรายวิชา *


สิ่งที่ค้นความเพิ่มเติม

ของเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่มีความต้องการ(พิเศษ)วัย 0-3ปี
     ของเล่นหรือการเล่น มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ ของเด็กอย่างมาก ถือว่าเป็นกุญแจดอกสำคัญ ที่จะนำไปสู่กระบวน การเรียนรู้ของเด็กในอนาคต ดั้งนั้นถ้าพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู ได้เข้าใจ และสามารถนำของเล่น หรือกิจกรรมการเล่นไปใช้กับเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ทักษะพัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็ก จะก้าวไปอย่างมีคุณภาพยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อเด็กมีพื้นฐานทางพัฒนาการเด็กที่ดี และเหมาะสมกับวัย เด็กจะสามารถ นำประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาไปประยุกต์ใช้ กับการเรียนรู้ในอนาคตได้ อย่างมีคุณภาพ
พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กวัย 0-3 ปีทั่วไป

     เด็กวัยนี้เรียนรู้ผ่านการเล่น และเรียนรู้ผ่านทางการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตาดู หูฟัง จมูกรับกลิ่น ลิ้นรับรส และผิวหนังรับสัมผัส ในวัยนี้เด็กมักชอบนำของทุกชนิดเข้าปาก โดยใช้ปากในการสำรวจของนั้นๆ ทั้งดูด เลีย อม พ่อแม่ควรส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ทักษะเหล่านี้ โดยหาของเล่นที่มีขนาดเหมาะมือ น้ำหนักเบา ขนาดไม่เล็กจนเกินไป ปลอดภัย ล้างทำความสะอาดง่าย เพื่อให้เด็กได้ฝึกทักษะ ในการใช้มือและตาประสานกัน ในการคว้าจับ เขย่า เอาเข้าปาก พ่อ แม่หรือพี่เลี้ยงเด็ก  ไม่ควรดึงมือหรือของเล่นออกจากปากเด็ก เพราะจะทำให้เด็กหงุดหงิด อารมณ์เสีย และขาดโอกาสในการใช้ปากสำรวจเพื่อการเรียนรู้ และที่สำคัญพ่อแม่ควรพูดคุย และมีปฎิสัมพันธ์กับลูก ขณะชี้ชวนให้ลูกเล่นอีกด้วย
พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กวัย 0-3 ปี (เด็กพิเศษ)

     เด็กที่มีความต้องการพิเศษ อาจมีความบกพร่องทางพัฒนาการ จำเป็นต้องกระตุ้น การเรียนรู้ของเด็กในทุกด้าน ไม่ว่าจะกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังต้องกระตุ้นการเรียนรู้ ด้วยการใช้ของเล่นที่มีความหลากหลายเพื่อสร้างทักษะ และประสบการณ์ต่างๆ ให้แก่เด็กเหล่านี้ ซึ่งจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสมและต้องคำนึงถึงปัญหา ความต้องการและระดับพัฒนาการของเด็กแต่ละรายด้วย

     ถึงแม้ว่าพัฒนาการของเด็กกลุ่มนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงตามอายุก็ตาม แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ไม่เหมือนกับเด็กปกติ เด็กพิเศษเหล่านี้ก็สามารถ พัฒนาศักยภาพของตนได้ และอาจจะมีพฤติกรรมของพัฒนาการ ที่แตกต่างกันออกไปตามปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น เด็กบางคนอาจคืบ แต่ไม่คลาน แต่จะนั่งและยืน เดินเลย บางคนอาจรู้จัก ไขว่คว้าของเล่น ในทิศทางต่างๆ กัน ชอบเอาของเล่นเข้าปาก แต่บางคนก็ทำไม่ได้

      จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยเหลือ ฟื้นฟูศักยภาพของเด็กให้เต็มที่ โดยอาจนำของเล่นให้เด็กได้จับสัมผัส หรือกกระตุ้นให้เด็กได้มีโอกาสนำของเล่นหรือวัสดุต่าง ๆ เข้าปาก เพื่อ กัด, ย้ำ ,เลียเล่น ซึ่งทักษะเหล่านี้ถือเป็นการเรียนรู้ของเด็ก โดยการใช้ปากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการเรียนรู้ ในการสัมผัสวัตถุ / ของเล่น การใช้ตา และมือประสานงานกัน สามารถจับวัตถุ / ของเล่น เข้าปาก ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และได้เรียนรู้การสัมผัสพื้นผิว ที่แตกต่างกันของวัตถุ จากการจับ , กัด , ดูด หรือเลียพ่อแม่หรือผู้ใหญ่บางท่าน อาจไม่เข้าใจถึงพฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ จึงจำกัด หรือห้ามปราม ไม่ให้เด็กเอาของเข้าปาก อาจเพราะกลัวสกปรกหรือสำลัก ซึ่งจะทำให้เด็กหงุดหงิด , อารมณ์เสีย และไม่เกิดการเรียนรู้

      ดังนั้นพ่อแม่ และผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดควรเข้าใจ ในพฤติกรรมของเด็ก และส่งเสริมการเรียนทักษะเหล่านี้ ให้ถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งดูแลเรื่องความปลอดภัย ในการเล่นของลูก โดยเฉพาะอุปกรณ์การเล่น ควรที่จะมีขนาดใหญ่ สีสันปลอดภัย จับ / กำถนัดมือ สามารถให้เด็กได้สัมผัสผ่านการกัด , ดูด , เลียได้ ขนาดและน้ำหนัก ต้องเหมาะสมกับเด็กแต่ละคน สามารถล้าง / ซัก อุปกรณ์ของเล่นได้ เมื่อสกปรก ตลอดทั้งพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงเด็ก ควรมีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก ระหว่างการเล่นอีกด้วย อย่าปล่อยให้เด็กเล่นคนเดียว เพราะเด็กยังไม่รู้จักว่าของเล่นแต่ละชิ้น มีวิธีการเล่นอย่างไร

ขอบคุณบทความจาก : baby2talk.com
รูปภาพจาก : Internet



วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

วันอังคารที่ 21 มกราคม 2557
สัปดาห์ที่12

 ในสัปดาห์นี้อาจารย์สอนเรื่อง พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ อาจารย์ได้แจกใบความรู้และอธิบายพร้อมให้นักศึกษาทำความเข้าใจตามไปด้วย

      พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆรวมทั้งตัวบุคคล ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำสิ่งที่ยากซับซ้อนมากขึ้น โดยทั่วไปพัฒนาการปกติ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ
          1.พัฒนาการด้านร่างกาย
          2.พัฒนาการด้านสติปัญญา
          3.พัฒนาการด้านจิตใจ-อารมณ์
          4.พัฒนาการด้านสังคม

     เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ  หมายถึง เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติในวัยเดียวกันที่สามารถทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เช่น เด็กอายุ 20 เดือน แต่ยังเดินไม่ได้ ในขณะที่เด็กปกคิเริ่มเรียนรู้ที่จะเดินและเดินได้ในช่วงอายุ 9-15 เดือน

     ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
-ปัจจัยด้านชีวภาพ เกี่ยวข้องกับลักษณะทางพันธุกรรมหรือชุดหน่อยของยีนที่เด็กได้รับสืบทอดมาจากมารดาบิดา
-ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด การติดเชื้อ สารพิา สภาวะทางโภชนาการและการเจ็บป่วยของมารดาส่งผลต่อพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์
-ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด  การเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะคลอด เช่น ภาวะขาดออกซิเจนในขณะคลอด
- ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด ปัจจัยด้านระบบประสาทและสภาพแวดล้อมส่งผลร่วมกันต่อพัฒนาการของเด็ก เด็กที่ไม่มีบิดามารดาหรือเด็กที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ แออัด ยากจน 

     สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
            1. โรคพันธุกรรม
            2. โรคของระบบประสาท อาการหลักที่เกิดขึ้นในเด็กคืออาการชัก
            3. การติดเชื้อ
            4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอดิซึม ระบบเผาผลานในร่างกาย พบมากในประเทศไทย สามารถรักษาได้โดยการฉีดฮอโมนในตัว ถ้าไม่รับคือโง่ตลอดกาล
            5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด  เกิดก่อนกำหนด
            6. สารเคมี ตะกั่ว
            7. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร เช่น ปฏิกิริยาสะท้อน

    แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
            1. การซักประวัติ
            2. การตรวจร่างกาย
            3. การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ
                 -การตรวจทางห้องปฏิบัติทางพันธุกรรม
                 -การตรวจด้วยเทคนิค FISH
                 -การตรวจดีเอ็นเอ
                 -การตรวจรังสีทางระบบประสาท
             -การตรวจทางเมตาบอลิก
            4. การประเมินพัฒนาการ
                -การประเมินแบบไม่เป็นทางการ
                -การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ

   แนวทางในการดูแลรักษา
           1. หาสาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ โดยมาพบถุมารแพทย์และแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก เพื่อทำการประเมินพัฒนาการเบื้องต้นและหาสาเหตุด้วยเสมอ
           2. การตรวจค้นหาความผิดปกติร่วม
           3. การรักษาสาเหตุโดยตรง
           4. การส่งเสริมพัฒนาการ หลักการคือพยายามทำให้มีวิธีการเดียวกับการเลี้ยงดูเด็กทั่วไปในชีวิตประจำวัน
           5. ให้คำปรึกษากับครอบครัวในการหาแหล่งความรู้เพิ่มเติมต่างๆ เช่น หนังสือ หรือเว็ปไซต์เกี่ยวกับเด็กพิเศษ

    สรุปขั้นตอนในการดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
           1. การตรวจคัดกรองพัฒนาการ
           2. การตรวจประเมินพัฒนาการ
           3. การให้การวินิจฉัยและหาสาเหตุ
           4. การให้การรักษาและส่งเสริมพัฒนาการ
           5. การติดตามและประเมินผลการรักษาเป็นระยะ

    บริการที่สำคัญสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
          1. การตรวจการได้ยิน
          2. การให้คำปรึกษาครอบครัว
          3. การจัดโปรแกรมการศึกษา
          4. บริการทางการแพทย์
          5. บริการทางการพยาบาล
          6. บริการด้านโภชนาการ
          7. บริการด้านจิตวิทยา
          8. กายภาพบำบัด
          9. กิจกรรมบำบัด
         10.อรรถบำบัด


วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

วันอังคารที่ 14 มกราคม 2557
สัปดาห์ที่11

* ไม่มีการเรียนการสอนเพราะนักศึกษาหลายคนไม่สามารถเดินทางมาเรียนได้ เนื่องจากการปิดถนนในวันที่ 13 มกราคม 2557




วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

วันอังคารที่ 7 มกราคม 2557
สัปดาห์ที่10

   ในสัปดาห์นี้อาจารย์ให้นำเสนองานที่เตรียมไว้ในสัปดาห์ก่อน
กลุ่ม1 สมองพิการ
          สาเหตุ
             - มีความผิดปกติตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
             - เด็กคลอดยาก
             - มีอาการดีซ่านอย่างรุนแรงหลังคลอด
             - เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคทางสมอง
          อาการ
             - พัฒนาการล่าช้า
             - กล้ามเนื้อเกร็งตัวมาก
             - เคลื่อนไหวผิดปกติ
กลุ่ม2 เด็ก LD
          สาเหตุ
             - ได้รับบาดเจ็บทางสมอง
             - พันธุกรรม
             - สภาพสิ่งแวดล้อม
          อาการ
             - แยกแยะขนาด สี รูปร่างไม่ออก
             - มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเวลา
             - ทำงานช้า
             - เขียน อ่าน ตัวอักษรสลับซ้ายกับขวา
             - สมาธิไม่ดี